วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นางมโนราห์




                                 
           พระสุธน – มโนราห์ เป็นนิทานพื้นบ้านของไทย ที่นำมาจากชาดก  นำมาเป็นวรรณคดีประกอบละครนอก  ในสมัยอยุธยา เป็นเรื่องของความรักที่ไม่ยอมแพ้แก่อุปสรรคใดๆ  ถึงแม้จะต่างเผ่าพันธุ์ แต่อยู่ด้วยกันได้ ด้วยความเห็นอกเห็นใจเอื้ออาทรต่อกันระหว่างพระพระสุธน ซึ่งเป็นมนุษย์ ส่วนนางนางมโนราห์ ซึ่งเป็นกินรี  แต่ด้วยความรักที่มั่นคง  ทำให้พระสุธนฝ่าฝันอุปสรรคพิสูตรตนเอง  และครองรักกับนางมโนราห์อย่างมีความสุข



        นางมโนราห์  เป็นธิดาองค์เล็กของท้าวทุมราชผู้เป็นพระยากินรี ครองเมืองไกลาศ  มีพระพี่นางอีกหกองค์  แต่ละพระองค์ล้วนมีรูปโฉมที่คล้ายกันมาก   มีความงดงามยิ่งกว่านางมนุษย์  มีรูปร่างหน้าตาเหมือน
มนุษย์  แต่มีปีกและหางสามารถถอดออกได้ เมื่อใส่ปีกและหางก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้
           นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกองค์ได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำ
อโนดาต เมื่อพรานบุญเห็นนางกินรี เกิดความพิศวงในความงามที่ฃคู่ควรกับพระสุธนเข้าไปแอบซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งใกล้สระน้ำคอยดูนางกินรีเหล่านั้น  ครั้นได้เวลานางกินนรทั้งเจ็ดผู้เป็นธิดาท้าวทุมราช ก็พาบริวารสวมปีกหาง บินทะยานจากเขาไกลาสมาทางอากาศครั้นถึงสระโบกขรณี ก็เปลื้องเครื่องประดับและปีกหางลงวางไว้ ต่างพากันลงไปเล่นน้ำในสระนั้นด้วยความสำราญเหมือนอย่างเคยฝ่ายนายพรานผู้ แอบอยู่ เห็นได้โอกาสจึงค่อยย่องออกจากพุ่มไม้แล้วขว้างนาคบาศบงไปกลางฝูงนางกินนร บ่วงนาคนั้นเฉพาะไปคล้องมือนางมโนรา (มโนหรา อ่าน มะ-โน-รา แปลว่า ยั่ว , งามหรือต้องอารมณ์เรามักเขียนเพี้ยนไปเป็น มโนห์รา ชาวใต้เรียก โนรา) ไว้แน่น จะดึงสักเท่าไรก็ไม่หลุดฝ่ายนางกินนรนอก นั้น เห็นพรานป่าทำดังนั้นตกใจกลัว รีบขึ้นมาแต่งตัวบินหนีขึ้นบนอากาศ เมื่อเห็นนางมโนราติดนาคบาศอยู่ในสระ ดังนั้น ต่างก็บินวนเวียนอยู่บนอากาศด้วยความห่วงใย เมื่อไม่เห็นอุบายที่จะช่วยนางได้แล้ว ก็พากันร้องให้แซ่ไปในอากาศและพิไรรำพันต่างๆ แล้วพากันบินกลับไปทูลพระราชบิดา ณ เขาไกลาส
        

          ฝ่ายนายพรานเห็น นาคบาศคล้องมือทั้งสองของนางมโนหราไว้สมดังหมายดังนั้นแล้วรับสาวท้ามาหวัง าจะจับมือนางเมื่อนางเห็นพรานเดินตรงเข้าไปจะจับเช่นนั้น ก็ตกใจกลัวพลางวิงวอนด้วยคำอ่อนหวานว่า "ข้าแต่ท่านผู้จำเริญขอท่านได้โปรดอย่าจับต้องร่างกายข้าพเจ้าเลย โปรดแต่เพียงแก้บ่วงออกเถิดแล้วข้าพเจ้าจะเดินตามท่านไปตามความประสงค์" เดชะบุญบารมีของนางบันดาลให้นายพรานมีความยำเกรง ไม่กล้าจับต้องร่างกายนาง พลางรีบปลดนาคบาศออกจากมือหมดแล้ว ก็พานางขึ้นฝั่ง ไปยังที่ซึ่งนางวางเครื่องประดับและปีกหางไว้ ให้ผลัดเครื่องนุ่งห่มแล้ว ก็รวบรวมลงในห่อผ้ายก ขึ้นตะพายบ่า พานางไปด้วยน้ำใจอันสงสาร มุ่งแต่ว่าจะนำไปถวายพระสุธนกุมารผู้เป็นเจ้านายอย่างเดียวเท่านั้น ครั้นนางขอผัดเพื่อกล่าวคำอำลาพระบิดามารดา พรานก็เอื้อเฟื้อผ่อนให้นางตามต้องการ



             นางโมนหราเมื่อ พรานอนุญาติดังนั้นแล้ว นางคุกเข่าลง ณ พื้นแผ่นดิน ผินหน้าไปทางทิศเหนือ ยกมือขึ้นประนมเหนือศรีษะพลางร้องให้รำพันลาพระบิดามารดา ด้วยถ้อยคำอันโอดครวญน่าสงสาร ในที่สุดนางกล่าวว่า "โอ้ พระบิดามารดาเจ้าขา ลูกขอลาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ครั้งนี้ลูกอยู่ในอำนาจของผู้อื่นแล้วคงไม่มีโอกาสมาเฝ้าฝ่าพระบาทได้อีก จงเข้าพระทัยว่าลูกนี้ล้มตายหายสูญไปแล้วเถิด" แล้วนางก็ฝืนลุกขึ้น เดินตามนายพรานไป พลางร้องไห้คร่ำครวญ พอมาถึงช่องภูเขา นางหันหลังกลับมานั่งลงเปลื้องสังวาลแก้วออกวางลงไว้ ณ ที่นั้นแล้ว กล่าววาจาว่า " ข้าแต่เทพเจ้า ณ เขาหิมพานต์นี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าบางทีพระมารดาข้าพเจ้าจะออกติดตามข้าพเจ้าด้วยความโศก เศร้าอาลัยข้าพเจ้า ขอฝากสังวาลแก้วนี้ด้วยถ้าว่าพระมารดาเจ้าได้ติดตามมาถึงที่นี้ขอท่านได้ โปรดให้สังวาลแก้วนี้แก่พระมารดาด้วย และได้ช่วยบอกว่า พรานป่าพาข้าพเจ้ามาทางนี้ " แล้วนางก็พร่ำบ่นรำพันต่อไปว่า "ลูก เคยได้เฝ้าพระแม่เจ้าเช้าเย็น นับแต่นี้ไปลูกจะมิได้เห็นหน้าแม่แล้ว ถึงแม้จะเที่ยวดั้นด้นค้นหาก็ยากที่จะได้เป็นจะตายเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ที่ขอ พระแม่เจ้าจงคิดเสียว่า ทั้งนี้เป็นธรรมดาโลก ซึ่งจะต้องพลัดพรากจากกันทั่วทุกรูปนาม ไม่มีใครหนีพ้นไปได้เลย" แล้วนางก็เดินตามนายพรานนั้นต่อไป


            ฝ่ายนายพรานบุณฑริกก็ เอาใจพานางไปด้วยความเคารพยำเกรงหาได้นับต้องร่างกายนางไม่ ตั้งหน้าจะพานางไปถวายพระสุธน เพื่อต้องการบำเหน็จรางวัลเท่านั้น ทั้งนี้ท่านกล่าวว่า เป็นบุญวาสนาของนางกับพระสุธนกุมาร อันได้เคยเป็นคู่สร้างกันมาแต่ปางก่อน จึงบันดาลดลในให้นายพรานคิดพยายามจับนางมุ่งแต่จะพาไปถวายพระสุธนทางเดียว เท่านั้น หาได้มีจิตคิดกลับกลอกไปอย่างอื่นไม่ เมื่อนายพรานพานางมาด้วยความระวังดังนี้ไม่นานนักก็บรรลุถึงพระนครปัญจาละ โดยสวัสดิภาพ วันนั้นพระสุธนทรงช้างพระที่นั่งเสด็จ ไปสวนอุทยานพร้อมด้วยบริวาร ทอดพระเนตรนายพรานกับนางมโนหราเดินผ่านมาทางนั้นก็ให้มีพระทัยรักใคร่ในรูป โฉมและกิริยามารยาทของนางยิ่งนักทรงตะลึงแลนางไม่วางพระเนตร เพียงแรกเห็นนางมโนราห์พระสุธนก็ทรงประทับใจต่อรูปโฉมของนางพาเข้าเมืองเข้าพิธีอภิเษก


             ฝ่ายปุโรหิตเกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธน  เพราะพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่ตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ พระบิดาได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่ ให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญ ท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์รู้เข้าก็ตกใจ จึงออกอุบาย ขอปีกกับหางของนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟ เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางร่ายรำได้สักพักก็บินหนีไป เจอฤาษีได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกกับพระสุธนว่า  ไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภัยอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็จะได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์
           

      ฝ่ายพระสุธนเมื่อกลับจากศึกสงครามทราบเรื่อง ได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจะติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ เหตุเป็นเพราะเวรกรรมแต่ชาติก่อนนั้น นางมโนราห์คือ พระนางเมรี  พระสุธนคือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบาก  เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงได้แจ้งแก่พระมารดา ซึ่งรับพระสุธนมาที่เมือง  ท้าวทุมราชมีพระประสงค์จะทรงทดลองพระสุธนจึงรับสั่งว่า " บัลลังก์หินสำหรับพระนครนั้นมีอยู่แผ่นหนึ่ง ถ้าจะยกให้ขึ้นต้องใช้คนพันหนึ่งจึงจะยกได้ เจ้าอาจจะยกขึ้นได้หรือไม่พระสุธนก็ทูลรับอาสาเพื่อจะลองยกดู เมื่อมหาชนไปประชุมกันพร้อมที่บัลลังก์หินนั้นแล้ว พระสุธนทรงอธิฐานว่า " ด้วยอำนาจบุญบารมี ของข้าพเจ้าที่ได้สร้างมา ขอให้บัลลังก์หินนั้นเบาดุจใบไม้เถิด" พอขาดคำอธิษฐานแล้ว พระองค์ก็ทรงยกบัลลังก์หินนั้นขึ้นได้โดยสะดวกและยังทดสอบด้วยการให้บอกว่านางใดคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ๆมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน พระสุธนตั้งจิตอธิษฐาน   ร้อนถึงองค์อินทร์ ต้องแปลงกายมาเป็นแมลงวันทอง จับที่ผมของนางมโนราห์ ทำให้พระสุธนสามารถบอกได้ว่านางใดคือนางมโนราห์   พระสุธนครองรักกับนางมโนราห์อย่างมีความสุขสืบมา





              บทชื่นชมความงามของนางมโนราห์


                                                             พระองค์สองกษัตรา                มีโสมนัสเสน่หา
                                                พิศโฉมมโนห์รา                                     ยิ่งหยาดฟ้าลงมาดิน
                                                                สมเด็จพระเจ่าแม่                    ตั้งตาแลเร่งถวิล
                                                ดังจะกล้ำกลืนกิน                                   โฉมเฉิดฉินพ้นพรรณนา
                                                                ตรัสถามถึงเค้ามูล                    นางกราบทูลแต่หลังมา
                                                ได้ฟังพระวาจา                                        สุรเสียงเพราะชอบพระทัย
                                                                แสนสวาทของมารดา              ปลื้มวิญญาณ์ยอดพิสมัย
                                                เชิญองค์อรทัย                                          เข้ามาใกล้ลูบปฤษฎางค์
                                                                พิศเพ่งผิวพักตรา                      วรกายาลักษณะนาง
                                                พระองค์ทรงสำอาง                                  ผิวเปรียบยังดอกมณฑา
                                                                รูปร่างนางที่สุด                        ล้ำมนุษย์เลิศเลขา
                                                สมเด็จพระมารดา                                     ชมกัลยาไม่อิ่มใจ